ให้ฉันพาเที่ยว! ‘ชุมชนตำบลหนองโรง’ เมืองกาญจน์
“สวัสดีค่ะ พลอย แอดมินเพจ ให้ฉันพาเที่ยว เป็นเพจเล็กๆ ที่ทำมาด้วยความชอบส่วนตัวในการท่องเที่ยว วันหนึ่งพลอยเห็นโพสต์ของทางเพจ Readme.me มีการเปิดรับสมัครผู้เข้าเเข่งขัน Thailand Village Acedemy พลอยก็สนใจเลยส่งสมัครไป ปรากฎว่าเข้ารอบคัดเลือกได้เป็นตัวเเทนไปชุมชนตำบลหนองโรง จังหวัดกาญจนบุรี ก็รู้สึกดีใจมาก ในเรื่องเวลาการทำกิจกรรมพลอยจึงไม่มีปัญหา เนื่องจากพลอยลาออกจากงานมาแล้ว ช่วงว่างๆ ก็เรียนภาษา และค้นหาตัวเองด้วย ว่าเราต้องการอะไร พลอยอยากมีประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ที่ยังไม่เคยทำ คิดว่าถ้าพลาดกิจกรรมนี้ไป อาจมานั่งเสียใจทีหลังว่า ทำไมเราไม่เลือกไป
หลังจากนั้นพลอยเริ่มเตรียมตัวศึกษาข้อมูลในการทำ Vlog เพราะเราไม่เคยทำมาก่อนเลย โชคดีที่ชอบงานตัดต่อวิดีโออยู่เเล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวพลอยเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งอยู่แล้ว พูดไม่มีเสน่ห์ และพูดตรง! ก็ไม่ค่อยกล้าพูดกับใครมาก ถ้าไม่สนิทจริง แทบจะเก็บตัวอยู่อีกโลกของพลอย
เมื่อมีเวลาว่างจากการอ่านหนังสือสอบ พลอยก็ซ้อมถ่ายวิดีโอด้วยกล้องมือถือนี่เเหละ เดินวนถ่ายสวนรอบบ้าน พยายามหามุมที่เราว่ามันดี และลองฝึกทำ Vlog ในชีวิตประจำวันซ้อมๆ ไปก่อน ต้องปรับให้ชิน มองกล้องให้เหมือนมองตาเพื่อนสนิทของเรา พยายามฝึกยิ้มให้เยอะ ซ้อมไปทุกวันๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าโอเครพอไปได้ละ ไม่ให้ออกมาขายหน้าก็พอ ฮ่าๆ
เเน่นอนพลอยก็ไปอ่านข้อมูลสถานที่ในโปรแกรมมาคร่าวๆ ว่ามีความเป็นมายังไงบ้าง เเละออกแบบเลยว่า อยากได้ Vlog สไตล์ที่ดูแล้วไม่น่าเบื่อ อยากให้ออกมาสนุกๆ เเละเตรียมชุดแบบสายลุยให้เหมาะกับการไปเที่ยวชุมชน พลอยไปศึกษามุมกล้องเวลาเขาถ่ายทำ เช่น การทอผ้า พลอยก็ไปดูคลิปสารดีที่เขาทำทอผ้ากัน ดูวิธีการถ่ายมุมไหนให้น่าสนใจ รวมทั้งดู Vlog ของบล็อคเกอร์ชื่อดังหลายท่านที่พลอยชื่นชอบ เขาตัดต่อเเบบไหน ให้ดูทันสมัย ให้น่าสนุก การหาเพลงพลอยก็เตรียมไว้ให้เข้ากับบรรยากาศชุมชน เน้นเพลงจังหวะร็อคที่มีกลิ่นอายคันทรี่ ในหัวจินตนาการไว้ว่ามันต้องออกมาสนุกแน่”
‘สู่สนามจริง เริ่มออกเดินทาง!’
เพื่อนร่วมเดินทางของพลอยในทริปนี้มี น้องพัฒน์ เป็นชาวต่างชาติสัญชาติอิตาลี อายุน้อยกว่าพลอย 1 ปี มีพี่อาร์ม ไกด์จากทัวร์ LocalAllike เป็นผู้ดูแลและนำเที่ยวพวกเราตลอดทั้งทริป และทีมตากล้อง พี่บาสกับน้องปอนด์ สรุปพลอยเป็นผู้หญิงคนเดียวในทริปนี้สินะ! เเต่พลอยเป็นคนลุยๆ อยู่แล้วก็จะพยายามดูแลตัวเองให้ได้ จะพยายามไม่งอแง ทำตัวอยู่ให้ง่ายๆ แล้วกันนะ (เหรอ!) ก็จะได้ไม่เป็นภาระคนในทริปไง
DAY 1
‘ตลาดน้อย ในกรุงเทพ’
เช้าวันเเรกของการเดินทาง พี่อาร์ม ไกด์ของพวกเรา พามาเดินที่ย่าน ‘ตลาดน้อย’ เพื่อเเวะมากินข้าวเที่ยงกัน ที่ย่านนี้จะมีร้านขายของพวกอะไหล่รถยนตร์มือสองเต็มไปหมด หรือเรียกชื่อย่านนี้ว่า ‘เซียงกง’ นั่นเอง
จากการสำรวจรอบๆ ถนนที่นี่ค่อนข้างแคบและมีรถขับสวนเข้าออกตลอด มีศาลเจ้าให้เห็นเป็นระยะๆ ทำให้รู้ว่าที่นี่นอกจากการผลิตอะไหล่รถยนตร์เเล้วยังมีกลิ่นอายความเป็นจีนผสมอยู่ด้วย
เมื่อถึงร้านอาหาร ‘River Vibe Restaurant & Bar’ พวกเราก็ขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่เป็นร้านอาหารบนดาดฟ้า ขอบอกเลยว่า ลมพัดเย็นสบาย! เห็นวิวเเม่น้ำเจ้าพระยา เเละตึกอาคารสูงมากมายในย่านฝั่งธนฯ เต็มตา บรรยากาศก็ให้เกินร้อยเลย!
มื้อแรกของพวกเราต้องมีอาหารเจร่วมด้วย เพราะน้องพัฒน์จะไม่กินเนื้อเลย ที่เขาเรียกกันว่า Vegan คือเน้นกินผัก ผลไม้ เท่านั้น จะเคร่งกว่า Vegetarian ค่ะ จากนั้นพวกเราเริ่มออกเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดกาญจนบุรีในเวลาบ่ายสามโมงเย็น ก็ผ่านศาลหลักเมืองซึ่งตอนนี้กำลังปรับปรุงซ่อมอยู่ เเต่ยังสามารถเข้าไปไหว้สักการะได้ค่ะ พลอยมาไหว้ศาลหลักเมืองเพื่อความสิริมงคล มาเที่ยวเมืองกาญจน์หลายรอบแล้ว แต่ได้มาไหว้ครั้งแรกก็ทริปนี้ล่ะค่ะ
เดินผ่านศาลหลักเมืองมาเเล้วก็เจออนุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 3
และประตูเมืองกาญจน์ เป็นกำแพงอิฐที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3
ผ่านกำแพงเมืองมาเข้าซอยด้านหน้าก็จะเป็นถนนคนเดินปากแพรก แหล่งชุมชนเก่าเเก่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี พลอยรู้สึกว่าที่นี่มีมุมเก๋ๆ ชิคๆ ให้น่าถ่ายรูปเพียบ อารมณ์เหมือนมาเดินย่านพระนครเก่าๆ ในกรุงเทพฯ ร้านค้าบางร้านที่นี่จะมีป้ายติดบอกความเป็นมาไว้ด้วย
‘ถนนคนเดินปากแพรก จ.กาญจนบุรี’
อย่างเช่น ร้านชวนพานิช พวกเราได้เจอคุณป้าเจ้าของร้านชวนให้พวกเราเขามาดูสินค้า ของเก่าแก่ทั้งหลาย เช่น พระเครื่อง หนังสือการ์ตูนเก่า ธนบัตร เป็นต้น ล้วนดูมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มาก คุณป้าก็พูดเก่งเหมือนเรากำลังฟังวิทยากรที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก คุณป้าเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนปากแพรก เริ่มมีตั้งเเต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 3 เคยมาตั้งฐานที่นี่เพื่อเป็นด่านตั้งรับข้าศึก แต่ข้าศึกก็ไม่ได้มาจึงได้กลับไป
ออกจากถนนคนเดินปากแพรกแล้ว พวกเราก็เห็น ‘วัดเทวสังฆาราม’ หรือวัดเหนือที่คนในเมืองกาญจน์เรียกกันง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีวัดใต้ด้วยซึ่งจะอยู่อีกมุมที่ห่างออกจากวัดเหนือไป
‘สวัสดี ชุมชนตำบลหนองโรง จ.กาญจนบุรี’
เวลาประมาณหกโมงเย็นที่พวกเรามาถึงชุมชนตำบลหนองโรง ที่พักของเราก็คือ บ้านสายใยรักโฮมสเตย์ วันแรกพลอยเจอ คุณป้าสมพร ชาวบ้านชุมชนตำบลหนองโรงที่จะพาพวกเราไปเรียนรู้การทำกิจกรรมต่างๆ ในหมู่บ้าน คุณยายปราณี เจ้าของบ้านสายใยรักที่จะคอยดูเเลความเป็นอยู่ อาหาร และที่พัก วันแรกจะดูครึกครื้นเป็นพิเศษ มีชาวบ้านอีกหลายคนเตรียมต้อนรับพวกเราในบ้าน คุณป้าพรและคุณยายปราณีรีบพาพวกเราเเวะชมสวนพืชผักสวนครัวหลังบ้าน ที่ปลูกผักกินเองอย่างเช่น ผักหวาน พริกขี้หนูสวน ต้นมะกรูด ตะไคร้ ขิง ข่า และต้นไม้อีกมากมาย พลอยแอบชอบความเป็นอยู่ง่ายๆ ความพอเพียงของคุณยายปราณีจังเลยค่ะ
เเละเเล้วพวกเราก็เตรียมแปลงร่างเป็นแม่ครัว พ่อครัว ที่จะต้องลงมือทำอาหารกับชาวบ้าน บรรยากาศก็จะเต็มไปด้วยเสียง คุณยาย คุณป้าหลายท่าน คอยสอนพวกเราทำอาหาร น้องพัฒน์ตำส้มตำเก่งมาก ส่วนพลอยน่ะเหรอ เป็นคนไทยแท้ๆ ยังอายเลย พลอยเคยดูแต่เขาตำส้มตำนะ เเต่ไม่ค่อยจะได้ทำหรอก เคยทำล่าสุดก็อายุประมาณ 8 ขวบกับพี่น้องในครอบครัว! แน่นอนพลอยลองชิมฝีมือตัวเองเเล้วแบบมัน อืม… มันไม่ใช่ รสชาติแปลกๆ ฮ่าๆ เลยต้องให้พี่อาร์มมาช่วยปรุงให้หน่อย ถึงพลอยเป็นคนไทยก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้
‘น้ำพริกมะสัง! เมนูหากินยาก!’ อร่อย!
ต่อมาอีกหนึ่งเมนูที่พวกเราต้องทำคือ’ น้ำพริกมะสัง’ เมนูนี้หากินยากนะคะ เพราะต้นมะสังจะออกผลเฉพาะช่วงฤดูกาลของเขา การเก็บก็ต้องใช้ลูกที่อยู่บนต้นเท่านั้น ร่วงมาแล้วใช้ไม่ได้ ด้วยความที่ต้นมะสังเป็นต้นไม้สูงมีหนามเต็มไปหมด เวลาเขาจะเก็บลูกก็ต้องใช้ไม้คล้ายๆ ไม้ขัดหม้อข้าว เขวี้ยงออกไปให้ลูกที่ไม่แก่ตกลงมาค่ะ ไม่แปลกใจที่จะหากินได้ยาก แค่เก็บก็ลำบากแล้ว!
ผลมะสังก็จะทรงกลมเหมือนมะกรูดสีเขียวเข้ม เวลาผ่าออกมาด้านใน ให้นึกถึงมะเขือมีความคล้ายอยู่ คุณป้าชาวบ้านควักใช้ส่วนที่เป็นเนื้อที่มีเมล็ดมะสัง นำลงไปตำ ใส่กะปิมอญที่ย่างจนหอมกับใบตอง ตำให้เม็ดมะสังไม่ต้องเเตกมาก ใส่หอมแดง กระเทียมไทย พริกขี้หนูสวน น้ำตาลมะพร้าว มะเขือเทศเล็ก ตำให้เข้ากัน ปิดท้ายใส่ด้วยน้ำปลา และตกแต่งด้วยมะเขือพวง เสริฟพร้อมกับผัก เป็นอันเสร็จสิ้นค่ะ พลอยกินเเล้วรสชาติมันกลมกล่อม เนื้อสัมผัสคล้ายน้ำพริกหนุ่มเเต่รสชาติจะออกเผ็ด เค็มๆ รสไม่จัดมาก จะกินให้อร่อยสุดต้อง กินตอนหลังตำใหม่ๆ เพราะหลังจากนั้นรสชาติมันจะเริ่มเปรี้ยวแล้ว
เสร็จภารกิจการทำอาหารเย็นแล้ว พวกเราก็ตั้งวงกินข้าวกัน มื้อเเรกอาหารเยอะมากมายเต็มโต๊ะ ที่เรากินกันในชุมชน ก็ได้กินอาหารท้องถิ่นแปลกๆ เช่น น้ำพริกมะสัง แกงส้มผักหวานใส่ปลาย่าง เห็ดดองเกลือ ต้มยำเห็ด เป็นต้น เมนูเห็ดเยอะใช่ไหมล่ะ… พอพูดถึงเห็ดแล้ว ชาวบ้านหลายคนในจังหวัดกาญจนบุรี ก็จะพูดถึงชื่อ ‘เห็ดโคน’ ให้พลอยได้ยินบ่อยมาก มันคือของดีในเมืองกาญจน์ที่พวกเขาภูมิใจเลยก็ได้ เห็ดโคนเป็นเห็ดที่ขึ้นตามธรรมชาติในป่า ต้องเดินไปเก็บในป่าเท่านั้น มีรสชาติกลิ่นเฉพาะตัวที่ใครๆ บอกว่าอร่อยมาก พลอยเเอบเห็นในเมนูร้านอาหารที่มีเห็ดโคนเป็นส่วนประกอบราคาจะสูงมาก
จบภารกิจวันที่หนึ่ง ในการโชว์ฝีมือทำกับข้าวไป เมนูที่พลอยชอบคือ น้ำพริกมะสัง ต้มยำเห็ด และเห็ดดองเกลือ ชาวบ้านต่างเริ่มเเยกย้ายกลับบ้านกันไป เหลือพวกเราเเละคุณยายปราณี พลอยเข้ามาดูห้องนอนของพลอยก็ประทับใจมาก เป็นห้องนอนเตียงใหญ่ ติดแอร์ เย็นสบาย ห้องพลอยจะอยู่โซนด้านหน้าบ้านเลย มีน้ำดื่ม ผ้าขนหนู มีทีวีพร้อม เหมือนอยู่ที่บ้านพลอย ห้องสะอาด ไม่อึดอัดเลยค่ะ
หลังจากสำรวจห้องเรียบร้อยแล้วก็เตรียมอาบน้ำนอน ห้องน้ำก็กว้างมาก มีเเบบทั้งตักอาบและฝักบัว พลอยชอบแบบใช้ขันตักอาบนะ น้ำมันจะเย็นชื่นใจ ตักอาบสะใจดี คืนนี้ก่อนเข้านอนก็ชวนน้องพัฒน์มานั่งทำงานด้านนอกกัน ตั้งคอมอะไรเรียบร้อย แล้วก็แยกย้ายเข้าห้องนอน ก่อนนอนพลอยนั่งตัดต่อวิดีโอ ในส่วนกรุงเทพกับถนนคนเดินปากแพรกก่อน เเละนั่งคิดแผนว่าทำยังไงดีกับ Vlog ในส่วนของชุมชนเพราะพลอยเริ่มตระหนักถึงปัญหาการถ่ายทำมากขึ้น เเต่ยิ่งคิดก็ปวดหัวเนอะ สุดท้ายก็เผลอหลับไปไม่รู้เรื่องเลย ก็ฝันดีจ้า
DAY 2
‘อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ มาทำกิจกรรมของหมู่บ้าน’
พลอยตื่นเช้าเวลาประมาณตีห้า ก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เตรียมรอใส่บาตร เจอคุณยายปราณี ตื่นเช้าเหมือนกัน คุณยายกำลังเตรียมจุดเตาถ่านทำกับข้าว คุณยายถามว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวยายทำให้ พลอยบอกอยากกินเมนูเห็ด คุณยายบอกว่าเดี๋ยวจะทำเห็ดดองให้กิน เเละมีต้มยำเห็ดของเมื่อวานยังเหลืออยู่ หลังจากใส่บาตรตอนเช้าเสร็จแล้ว กินข้าวกันเรียบร้อยคุณยายก็มีขนมปัง โอวัลตินมาให้พวกเรากินเล่นกัน เเทบไม่มีวันไหนที่อยู่บ้านคุณยายเเล้วหิวเลย อิ่มมากๆ
พลอยได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณยายปราณีตอนเช้า คุณยายพาพลอยมาดูรูปถ่าย เล่าเรื่องราวชีวิตส่วนตัว คุณยายเป็นนักปั่นจักรยานเลยนะ แม้จะอายุ 75 ปีแล้วก็ตาม พลอยถามคุณยายว่าไม่เหนื่อยเหรอคะที่มาทำโฮมสเตย์ คุณยายบอกว่า
‘ยายมีความสุขที่ได้ทำโฮมสเตย์ อยากต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชุมชน และอยากให้คนที่มาพักมีความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน’
พูดไปคุณยายก็ยิ้มอย่างมีความสุขและพลอยก็รู้สึกถึงสิ่งนั้น อีกอย่างทำให้พลอยคิดถึงคุณยายที่เพิ่งเสียไปเมื่อสองปีก่อน ขนาดมองภาพยายจุดเตาถ่านก็ยังคิดถึงภาพวันเก่าๆ ที่คุณยายของพลอยทำกับข้าวยามเช้า ในช่วงเวลาที่อยู่ไม่กี่วันพลอยก็อยากทำในสิ่งที่ตอนยายพลอยเคยมีชีวิตอยู่แล้วไม่เคยมีโอกาสได้ทำในหน้าที่หลานที่ดีเท่าไหร่ ก็อยากพูดคุย ช่วยคุณยายปราณีทำกับข้าวบ้าง
‘สำรวจหมู่บ้าน ตอนเช้า’
ถ้าถามว่าใครตื่นเช้าที่สุดรองจากคุณยายปราณี ก็คือ พลอยเองจ้า! นอนดึกแต่ตื่นเช้านะ จนคุณยายชวนพลอยมาใส่บาตรตอนเช้าด้วยกันเสียเลย หลังจากนั้นพลอยก็ไปเดินเล่นแถวหมู่บ้านสำรวจสภาพเเวดล้อม จากบ้านคุณยายห่างจากปากซอยถนนใหญ่ไม่ไกลมาก การเดินทางมาที่หมู่บ้านเเห่งนี้ถ้ามาเองให้ต่อรถเมลล์สายสุพรรณบุรี – กาญจนบุรี มาลงซอยถนนบ้านใหม่ หมู่ 9 บ้านใหม่ ก็จะสามารถเข้าสู่บ้านพักโฮมสเตย์ของชุมชนหรือติดต่อโฮมสเตย์ของชาวบ้านในชุมชนให้มารับเราที่หน้าหมู่บ้านได้ค่ะ
จากนั้นพลอยก็เดินย้อนกลับมาเข้าในหมู่บ้าน เจอทั้งน้องหมา น้องเเมว เดินตามพลอยไปทั่ว ก็แอบแปลกใจเหมือนกันค่ะ ไม่ว่าพลอยจะไปที่ไหน จะต้องมีน้องหมา น้องเเมวประจำทริปตลอด พอเดินไปเรื่อยๆ อีกก็เจอร้านขายของชำ ที่ขายขนม ไอศครีม เเบบร้านขนมสมัยเด็กๆ ที่พลอยเคยกิน ก็เปรียบเสมือนเซเว่นในหมู่บ้านเเล้วกัน คลาสสิคดี ที่สำคัญร้านเขาเปิดตั้งเเต่ตีสี่ครึ่ง
‘เดินทางสู่ป่าชุมชนบ้านห้วยสะพาน’
วันนี้ภารกิจที่พวกเราต้องไปคือเดินป่าชุมชนกัน พวกเราเดินทางโดยนั่งรถ ‘อีแต๋น’ มีคุณลุงเอชาวบ้านเป็นคนขับรถพาพวกเราไปทำกิจกรรมต่างๆ ในหมู่บ้านวันนี้ค่ะ
สมัยก่อนนานมาแล้ว มีนายทุนเข้ามาในชุมชนเพื่อขอซื้อพื้นที่ป่ามาทำไร่มัน ไร่อ้อย แต่ปัญหาก็คือ สารพิษเคมีจากไร่นายทุน ได้ไหลลงสู่สระน้ำเเถววัดห้วยสะพาน ซึ่งเป็นที่ชาวบ้านสมัยก่อนต้องมาหาบน้ำเพื่อนำไปใช้บริโภค จนในที่สุดชาวบ้านรวมตัวกันต่อต้านขอพื้นที่คืนเพื่ออนุรักษ์ผืนป่านี้ไว้ ในปัจจุบันป่าชุมชนเเห่งนี้มีพื้นที่ประมาณราวๆ 1,000 กว่าไร่ นอกจากนี้ไม้จากป่าเเห่งนี้เคยนำไปใช้เป็นหมอนรางรถไฟอีกด้วย
การแต่งกายเข้าป่าแห่งนี้ควรใส่เสื้อเเขนยาว กางเกงขายาว สีทึบๆ สวมรองเท้าผ้าใบจะดีมาก เพราะในป่าจะมียุงตอม กางเกงขาสั้นไม่รอดจากยุงเเน่ๆ ภายในป่าพลอยจะพบเห็นพืชสมุนไพรต่างๆ มากมาย ที่ชาวบ้านมาปลูก ได้รู้จัก ‘เถาวัลย์ทอง’ ที่สามารถนำมันมาใช้สานถักเป็นแหวนและกำไล
ภาพด้านล่างคือ แห้วขันหมาก ลักษณะคล้ายวัชพืชหญ้า เเต่จะมีสีม่วงเข้มตัดกับใบสีเขียว เมื่อดึงขึ้นมาจะพบหัวเเห้วอยู่เเถวราก เวลาหลงป่าหิวน้ำ ก็สามารถกินแทนน้ำได้
นอกจากนี้ยังพบ ต้นปอเต่าไห้ที่สามารถนำมาทำเป็นเชือกได้อีกด้วยค่ะ โดยใช้มีดปลอกเปลือกของมันออกมาลอกให้หมดจนเห็นเนื้อสีขาวๆ ของลำต้น
ป่าชุมชนบ้านห้วยสะพานเป็นป่าไม้รังหนา เป็นพวกป่าร้อน จะไม่เหมือนป่าที่อยู่บนภูเขาอุทยานที่จะมีความชื้นสูง จะว่าไปที่ป่าชุมชนโปร่งๆ ลมพัดเย็นสบายดีนะคะ
ไหว้พระ ‘วัดเขาจำศีล’
วัดเขาจำศีล เป็นวัดอีกแห่งหนึ่งในชุมชนที่มีความสวยงาม โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนังที่โบสถ์ สีสันสดใสมาก แต่เดิมชาวบ้านจะเรียกว่า ‘วัดเขาพระจำศีล’ สร้างขึ้นสมัยอยุธยา วัดจึงมีความคล้ายในอยุธยา บ้านเกิดพลอยเอง ที่นี่เคยเป็นที่หลบภัยในช่วงที่พม่าเดินทัพผ่านเพื่อไปกรุงศรีอยุธยา และช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่ยังเคยเป็นฐานทัพหน่วยเสรีไทยอีกด้วย ต่อมาก็ได้กลายเป็นวัดร้าง จนปัจจุบันโบสถ์ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์ ตรงซุ้มประตูทางเข้าโบสถ์ที่วัดเขาจำศีลก็มีเอกลักษณ์ตรงที่ เข้าออกทางประตูเดียวกัน
จิตรกรรมฝาผนังที่วัดเขาจำศีลสวยงามมากนะคะ
มีถ้ำเล็กอยู่ใกล้วัดด้วยค่ะ ด้านในเเอบเจอค้างคาว แต่ไม่เยอะมากค่ะ ไม่ได้น่ากลัว พอเห็นคนเข้ามาก็บินหนีออกไป พลอยออกจะตื่นเต้นด้วยซ้ำ ปรกติไม่เคยเห็นค้างคาวใกล้ๆ ขนาดนี้
‘การสานเปล’
หลังกินข้าวเที่ยงกันเรียบร้อยเเล้ว พวกเราก็มาเรียนรู้กิจกรรมการสานเปลใหญ่ กำลังเห็นคุณยายนั่งสานเปลไม้อย่างคล่องแคล่ว คุณยายเป็นคนพูดเก่งมาก วัสดุที่ใช้สานเปลใหญ่จะเป็นไม้ที่เก็บมาจากป่าชุมชน การนำมาทอก็ตัดให้มีความกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ส่วนความยาวเเล้วเเต่ไม้ที่ได้มา เวลาสานใช้ 8 หรือ 9 ซี่ กับ 8 หรือ 9 ปล้อง เพื่อความมงคล จะไม่เอาเลข 7 กับ 10 ไม้ไผ่ของคุณยายจะนำมาชุบน้ำให้มันนิ่มแล้วจึงนำมาสาน มาตรงจุดนี้ พลอยไม่สามารถบิดไม้สานได้เลย คุณยายบอกว่าต้องคนข้อมือเเข็งแรง คุณยายจึงให้พลอยสานเปลเล็กแบบว่าเล็กจิ๋วไปแทน ซึ่งอันนี้จะใช้เถาวัลย์ทองสานค่ะ ก็ง่ายกว่าเยอะ เวลาจะใส่สีเเซมให้เป็นลวดลายในการสานเปลใหญ่คุณยายจะใช้เชือกพลาสติดที่ห่อกล่องลังสีๆ ที่เหลือใช้นี่แหละนำมาสาน เเล้วนำเปลส่งขาย
‘การทอผ้าขาวม้า’
ผ้าขาวม้าที่พลอยเห็นพี่ผู้หญิงกำลังทออยู่สีมันสดใสมากๆ ค่ะ แบบสีเเจ่มเลย หลักการทอผ้าที่จริงไม่ยาก หลักการจำง่ายๆ คือ เหยียบ กระตุก กระทบ จนถึงตอนนี้พลอยยังจำได้อยู่เลย
‘เจียระไนพลอย’
พี่ที่มาสาธิตการเจียระไนพลอยเป็นคนเดียวกับพี่ที่ทอผ้าขาวม้านั้นเอง เรามาดูอีกมุมของพี่เขากัน พี่เขาบอกว่า ลายนิ้วมือเขาเลือนหายไปเพราะเวลาเจียระไนพลอยจะมีความร้อนมาก อาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ลายนิ้วมือเลือนไปได้ เวลาเจียระไนพี่เขาก็จะใส่เเว่นนิรภัยด้วย
‘ดูป้าวาสนาทำ มะกรูดเชื่อม’
มาถึงกิจกรรมนี้เริ่มรู้สึกว่า พลอยค่อยเริ่มเป็นเเม่ศรีเรือนมากขึ้น ฮ่าๆ คุณป้าวาสนาคงตื่นกล้อง ดูเขินๆ ขั้นตอนแรกคือต้องปอกเปลือกมะกรูดออกมาแต่ไม่ต้องปอกฝานให้ลึกมาก เดี๋ยวจะช้ำ จากนั้นเอาไปเเช่น้ำค้าง 1 คืน แล้วแช่ใส่น้ำปูนแดงผสมไป ทำให้ลูกมะกรูดที่เเช่ไว้เริ่มมีสีเหลือง จากนั้นจึงทำการเชื่อม เคล็ดลับของคุณป้าวาสนาในแต่ละขั้นตอนละเอียดจริงๆ ค่ะ พลอยเล่าคงไม่หมด พอได้ชิมมะกรูดของคุณป้าแล้ว หืมมม! อร่อย ไม่ขมเลย แต่ยังได้รสมะกรูดอยู่ หวานกำลังดี แน่นอน คุณป้าวาสนาเขาทำจัดส่งจำหน่ายด้วยสนใจก็โทรไปที่ 081-1937196 คุณป้าพร้อมส่งค่ะ!
ทำพวงกุญเเจดอกไม้!
กิจกรรมทำพวงกุญแจ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่พลอยชอบนะ เพราะมันง่าย ฮ่าๆ เเละยังสามารถนำมาประยุกต์ได้ง่ายค่ะ ช่วงเย็นวันนี้พวกเรามีพี่อุ๋ยมาเป็นผู้สอนการทำพวงกุญแจดอกไม้ อุปกรณ์มีไม่เยอะเลย อย่างเเรกคือ ด้ามไม้ มีลักษณะคล้ายๆ แท่งดินสอไม้นี่เเหละ เป็นไม้ที่นำมาจากป่าชุมชน มาปลอกเปลือกให้หมดแล้วนำมาเเช่น้ำสีเพื่อย้อม ไม้พวกนี้เเหละจะเป็นตัวกลีบดอกไม้ของพวงกุญแจ พวกเราจะนั่งเหลาไม้เหมือนเหลาดินสอ แล้วจะได้แผ่นไม้ที่เหลาออกมา จับเป็นกลีบใช้กาวติดแปะไปเรื่อยๆ จนเป็นดอกไม้ค่ะ ถ้าพลอยจะกลับไปทำคงต้องหาไม้เเถวบ้านล่ะ แต่น่าจะยากอยู่
‘สวนมาสุขพอเพียง’
ระหว่างที่พลอยทำพวงกุญแจดอกไม้ พี่อุ๋ยได้ให้พวกเราดื่มน้ำมะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้ชนิดนี้ปรกติมีรสฝาดมากๆ แต่ที่ดื่มมันไม่ฝาดเลยอร่อยมาก พี่อุ๋ยบอกว่าต้องใช้ลูกสีแดงจัดๆ มันจะไม่ฝาด รสชาติคล้ายๆ น้ำองุ่นแดงที่พลอยเคยกินในไร่องุ่นเลย เเต่รสชาติจะต่างกันตรงที่มันมีกลิ่นเฉพาะของมะม่วงหาวมะนาวโห่ ว่าเเล้วพวกเราก็ได้มาแวะสวนมาสุขแบบพอเพียงของพี่อุ๋ย ในนี้จะมีพันธุ์ไม้เศรษฐกิจอย่างเช่น ดีปลี มะกรูด รวมทั้งมะม่วงหาวมะนาวโห่ด้วยค่ะ ถ้าถึงฤดูมันออกลูก ทั้งสวนจะเป็นสีแดงสวยมาก
กิจกรรมวันเเรกจบลงที่สวนมาสุขพอเพียง พวกเราบอกลาพี่อุ๋ยกันที่สวนเเละนั่งรถอีแต๋นกลับ และเเวะกินข้าวเย็นที่ร้านบานาน่าฟาร์ม ซึ่งวันนี้เหนื่อยมากๆ เลยรีบขอตัวอาบน้ำก่อนใคร และเข้าห้องนอนเพื่อไปทำงานตัดต่อ Vlog จนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ หลับคามือถือเลย
Day 3
‘เช้าแสนอบอุ่นที่ สายใยรัก โฮมสเตย์’
ภาพอันคุ้นตาของพลอย เวลาตื่นเช้าที่บ้านสายใยรักโฮมสเตย์ จะเห็นคุณยายติดเตาถ่าน พลอยก็ชวนคุณยายพูดคุยเเต่เช้า ชอบนั่งดูคุณยายทำกับข้าว มีหลายเมนูที่คุณยายทำแล้วอร่อยมาก เช่น เห็ดดอง ต้มยำเห็ด ผัดกระเพราเห็ดใส่เต้าหู้ เป็นต้น พลอยนั่งดูคุณยายทำเผื่อเอากลับไปทำกินที่บ้านบ้าง สูตรคุณยายนี่สุดยอดเลย นานเเล้วที่พลอยไม่เคยมีช่วงเวลาเเบบนี้ คิดว่าถ้ามีโอกาสพลอยก็อยากมาพักที่นี่กับคุณยายอีก เชื่อไหมพลอยไปพักมาหลายที่ บางที่หรูหรามากๆ แต่มันก็ไม่อุ่นใจกับการพักแบบบ้านสายใยรักโฮมสเตย์
“เคยไปนั่งกินข้าวเช้าในโรงแรมหรูอย่างดี แต่พนักงานเขาไม่มาเสริฟน้ำเปล่าให้พลอยเลย ต้องเรียกให้มาเสริฟตลอด สั่งไข่กวนกับพ่อครัว มายืนรอสั่งคนเเรก เเต่เขากลับทำให้คนมาสั่งทีหลัง บอกให้เรารอไปก่อนนะ!? แถมได้เเต่ไข่แบบเละๆ มีเปลือกไข่ไก่ติด มาไม่น่าทาน มันเสียความรู้สึกมากๆ ทั้งที่เราก็เป็นลูกค้ามาพัก แต่สำหรับโฮมสเตย์ธรรมดา คุณยายมีของกินมากมายให้พลอยได้กิน ‘หิวไหม’ นี่คือประโยคที่พลอยจะได้ยินตลอด ทั้งที่พลอยไม่ได้เอ่ยว่า ‘หิว’ ซักคำ เเค่ขนมปังโอวัลตินธรรมดา ๆ คุณยายเอามาให้พลอย อาหารพื้นบ้านง่ายๆ ที่คุณยายจุดเตาถ่านตอนเช้า มันดูน่ากิน อบอุ่นใจกว่าเยอะเลย”
‘ปีนต้นตาลไหม!?’
หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็เตรียมตัวเดินทางไปสวนตาลแต่เช้าค่ะ วันนี้ผู้ใหญ่บ้านจะมาสาธิตเก็บลูกตาลด้วยตัวเองเลย ตอนเเรกนึกว่าพวกเราต้องปีนไปเก็บนะเนี่ย ลูกตาลเขาจะมีฤดูการออกลูกด้วยนะ โชคดีมากๆ ที่ยังมีต้นตาลบางต้นมีลูกอยู่ วันนี้คุณป้าพรมาพาเราไปทำกิจกรรมต่างๆ กันต่อค่ะ
ที่น่าหวาดเสียวมากเลยคือ เวลาเขาปีนไปเก็บ บันไดที่ปีนมันเป็นเเค่ไม้ยาวๆ ที่มีแหง่งออกมาประมาณฝ่ามือแล้วใช้เท้าเปล่าเหยียบปีนไต่ขึ้นไป ชาวบ้านบอกว่า เคยมีคนตกลงมาเสียชีวิตระหว่างเก็บตาลก็มีแล้ว
ทำให้พลอยรู้เลยว่ากว่าจะได้ลูกตาลลงมาให้พวกเราได้กินอร่อยๆ ทุกวันนี้ไม่ง่ายเลยค่ะ
‘กล้าปีนไหมจ๊ะ’
ลูกตาลที่เราเก็บมากินสีใสๆ มันก็คือเมล็ดที่ยังอ่อนนี่เเหละ บอกเลยว่า อร่อยหอม มากๆ ชาวบ้านปอกให้กินตรงนั้นเลย และพอพวกเราเก็บลูกตาลกันเสร็จ ชาวบ้านก็เอาไปแบ่งกับคนในหมู่บ้าน ช่วงบ่ายพอเห็นคุณยายปราณีมานั่งปอก พลอยก็ยังมานั่งกินที่คุณยายปอกสดๆ กินไปหลายลูกเลย คุณยายปราณีบอกว่าจะเอาไปทำตาลเชื่อม แบบไม่หวานมาก กินกับน้ำแข็งเย็นๆ ก็อร่อยชื่นใจ
แต่ถ้าลูกตาลที่แก่ขึ้นมาหน่อย เขาจะเรียกว่า ‘จาวตาล’ สีจะเป็นขาวเข้มเลยค่ะ รสชาติคล้ายๆ เรากินเนื้อมะพร้าวเเข็งๆ นิดหนึ่ง จะเคี้ยวมันส์ดี จาวตาลหน้าตาเเบบภาพด้านล่างเลยค่ะ
นอกจากนี้เนื้อตาลที่สุกเเล้วสามารถนำไปทำขนมตาลได้ด้วยค่ะ
เเละกากใยตาลที่เหลือก็สามารถนำเอาไปประดิษฐ์ เจ้านกน้อย ทำพวงกุญแจ ตั้งประดับได้น่ารักดี ชาวบ้านทำขายไม่แพงเลย
ยังๆ ยังมีอีก ส่วนที่เป็นไม้ของต้นตาลยังนำมาทำเป็น รั้วบ้าน
ส่วนใบของต้นตาลก็นำมาสานปลาตะเพียนได้อีกด้วย น่าทึ่งไหมล่ะ ต้นตาลต้นเดียวแต่มีประโยชน์มากมาย ขนาดนี้ ถือว่าเป็นอีกพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้แก่ชาวบ้านในชุมชนตำบลหนองโรงได้เลย ว่าเเล้วพวกเราก็มานั่งกินขนมตาลที่อบกันเสร็จเป็นมื้อกลางวันกันเถอะ!!
‘ปั่น! จักรยาน รอบหมู่บ้าน’
เวลาประมาณบ่ายโมงกว่าที่พวกเรามาถึง ร้านค้าประชารัฐเพื่อชุมชน ที่นี่เป็นร้านขายของใช้ในบ้าน เช่น ผงซักฟอก ยาสีฟัน น้ำปลา น้ำมัน เป็นต้น เเละสินค้าของชุมชนที่พวกเราไปทำกิจกรรมนั่นแหละ เช่น งูงับนิ้วที่ใช้แก้นิ้วเคล็ด นกน้อยจากกากตาล เป็นต้น มีขายที่ร้านแห่งนี้ ก็เปรียบเสมือนซูเปอร์มาเก็ตเล็กๆ ของชุมชน และที่สำคัญมีเช่าจักรยานด้วยจ้า ชั่วโมงละ 10 บาท จักรยานยังใหม่เอี่ยมทุกคัน มีหมวกกันน็อคมาให้ใส่ พวกเราจะปั่นไปทุ่งนาข้าวกันเพื่อไปดูเขาหว่านเมล็ดข้าว เเละพวกเราก็จะลงไปทำนาด้วย
แต่ก่อนจะไปถึงทุ่งนา ไปแวะชิมหมี่กรอบและข้าวเกรียบสายรุ้ง อร่อยมาก พูดจริงๆ เลย ของกินที่นี่มีแต่อร่อยๆ
เสร็จเเล้วก็ปั่นจักรยานไปทุ่งนากันต่อเลย
วันนี้พวกเราจะมาหว่านเมล็ดข้าวในนากับชาวบ้าน เป็นครั้งเเรกเลยที่พลอยได้ลงนา เหยียบโคลนเท้าเปล่าๆ ความรู้สึกจากกลัวตอนแรก พอเหยียบๆ ไปมันไม่น่ากลัวเลย สนุกดีค่ะ
ภาพด้านล่าง ต้องขอบคุณภาพสวยๆ จากพี่อาร์ม ไกด์ของเรา
กว่าจะได้ข้าวมาให้พวกเรากิน พลอยเข้าใจความรู้สึกชาวนาเลย ต้องตากแดดร้อนๆ หว่านข้าว เพราะฉะนั้นกินข้าวเราต้องกินให้หมดนะ
‘รำเหย่อย’
เป็นการละเล่นพื้นเมืองชนิดหนึ่งในชุมชนตำบลหนองโรง การรำเหย่อยหาชมยากนะ วันนี้หนุ่ม สาว ในหมู่บ้าน จะดูคึกคักเป็นพิเศษ ภาพด้านบน ตรงกลางคือคุณป้าพร ที่คอยดูแลต้อนรับพวกเราตั้งเเต่พวกเรามาอยู่ในชุมชนตั้งแต่วันแรก และชาวบ้านที่จำมารำเหย่อยให้ชมกัน
ในภาพคนซ้ายสุดคือคุณยายปราณีค่ะ
ผู้หญิงจะใส่เสื้อเเขนยาว นุ่งกางเกงจุงกระเบน เเละห่มสไบผืนเล็กๆ ปล่อยชายลงหน่อย เอาดอกไม้ทัดหู อารมณ์ประหนึ่งเป็นกาสะลองเลยจ้า ฮ่าๆ เขิน เวลารำพลอยไม่ได้ใส่รองเท้านะ ต้องถอดออกก่อน เสื้อที่ใส่ก็ยืมคุณยายออกมาใส่
การรำของเขาจะดูไม่ช้าไม่เร็วนะ เขาจะตั้งวง คล้ายๆ ครึ่งวงกลม แบ่งฝ่ายชายกับหญิง เครื่องดนตรีก็จะมีกล้องยาว ฉาบ ฆ้องวงตี
หลังจากรำเหย่อยเสร็จสิ้นเเล้ว พลอยก็ปั่นจักรยานด้วยชุดรำกลับบ้านคุณยายปราณี ปั่นกลับค่ำๆ กับพี่ๆ ในทริปเรานี่เเหละ มีเด็กผู้ชายวัย 9 ขวบ ในหมู่บ้าน ปั่นจักรยานตามมาส่งพลอยด้วย น้องบอกว่า เป็นห่วงพี่ น้องเลยปั่นตามมาส่งปิดท้ายขบวนพวกเราค่ะ มาส่งถึงหน้าบ้านคุณยายปราณีเเล้วก็ปั่นกลับไป น่ารัก น่าเอ็นดูจริงๆ เด็กน้อย
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่พลอยจะอยู่ชุมชนนี้ พวกเรากลับมากินข้าวเย็นฝีมือคุณยายปราณีอย่างหิวมากๆ ก่อนจะเเยกย้ายไปอาบน้ำ เข้านอนกัน เเต่พลอยยังไม่ได้นอนหรอก งานยังไม่เสร็จโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เน็ตมือถือพลอยมีปัญหา ใช้ไม่ค่อยได้ เลยเน้นตัดต่อวีดิโอแทน กว่าจะหลับก็ปาไปตีสองกว่าค่ะ
Day 4
‘เช้าแห่งการบอกลาชุมชน’
เช้าวันนี้พลอยตื่นสายกว่าวันอื่นๆ เเต่ก็ยังถือว่าเช้าอยู่นะ มานั่งคุยกับคุณยายปราณีตอนเช้าเหมือนเดิม วันนี้คุณยายทำเมนูเห็ดดองที่พลอยอยากกินด้วย มื้อสุดท้ายเเล้วนะ แค่คิดก็ใจหาย หลังจากนั้นพลอยก็รีบไปจัดกระเป๋าให้เรียบร้อยเเละรีบไปอาบน้ำอย่างไวที่สุดในชีวิต
คุณป้าสมพรมาบ้านสายใยรักตอนเช้าเพื่อมาส่งพวกเราด้วย พลอยบอกลาทุกคนและหวังว่า ถ้ามีโอกาสพลอยมาเที่ยวเมืองกาญจน์ก็จะมาแวะพักกับคุณยายปราณีแน่นอนค่ะ
สำหรับผู้อ่านทั้งหลายที่อยากมาเที่ยวชุมชนตำบลหนองโรง จ.กาญจนบุรีนะคะ ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้พวกเราทำเยอะมากๆ คุณป้าสมพรบอกว่าสองสัปดาห์ ถึงจะเรียนรู้กิจกรรมในหมู่บ้านจนหมด ถ้ามาไม่กี่วันเราสามารถเลือกกิจกรรมที่สนใจ และ สามารถติดต่อเบอร์โทรด้านล่างนี้ได้่ค่ะ แต่ละกิจกรรมก็จะมีค่าใช้จ่ายค่ะ เเต่รายได้จากส่วนนี้ก็จะเข้าสู่ชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชนต่อไปค่ะ
การเดินทางไม่ยากเลยเพราะชุมชนอยู่ในตัวเมืองไม่ไกลมาก หากมาเองก็ต่อรถเมล์สายสุพรรณบุรี-กาญจนบุรี มาลงหน้าหมู่บ้านเเล้วโทรหาโฮสต์ที่เราพักอยู่ให้มารับได้ค่ะ
ติดต่อสอบถามข้อมูลบริการท่องเที่ยวชุมชนตำบลหนองโีรงได้ที่ คุณสมพร ปานโต 081-9432618
และโฮมสเตย์ยังมีอีกหลายแห่ง ตามด้านล่างนี้เลยค่ะ
แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะคะ!
พาชม บ้านสายใยรัก โฮมสเตย์ (บ้านคุณยายปราณี)
https://www.facebook.com/Ploytraveller/videos/853729891679555/